Author Archives: pes2009_04@hotmail.com

peptide

เปปไทด์ในสกินแคร์ ราคาแพงไหม

เปปไทด์ในสกินแคร์ ราคาแพงไหม?

เปปไทด์ในสกินแคร์สามารถมีราคาที่หลากหลาย ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ประเภทของเปปไทด์ ความเข้มข้นของส่วนผสม และแบรนด์ที่ผลิต โดยทั่วไปแล้ว ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของเปปไทด์มักจะมีราคาสูงกว่าผลิตภัณฑ์ทั่วไป เนื่องจากเปปไทด์เป็นส่วนผสมที่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตและมีประโยชน์ที่ชัดเจนต่อการดูแลผิว

  1. ประเภทของเปปไทด์: เปปไทด์มีหลายชนิด เช่น คอลลาเจนเปปไทด์, คอปเปอร์เปปไทด์, และเปปไทด์สายสั้น (short-chain peptides) ซึ่งแต่ละชนิดมีคุณสมบัติและราคาที่แตกต่างกัน ผลิตภัณฑ์ที่ใช้เปปไทด์ชนิดพิเศษหรือมีความเข้มข้นสูงมักจะมีราคาสูงกว่า
  2. ความเข้มข้นของเปปไทด์: ผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นของเปปไทด์สูงมักจะมีประสิทธิภาพมากกว่า แต่ก็จะมีราคาที่สูงขึ้นตามไปด้วย
  3. แบรนด์และการตลาด: แบรนด์ที่มีชื่อเสียงและใช้บรรจุภัณฑ์หรูหรามักจะมีราคาที่สูงกว่าเนื่องจากต้นทุนในการตลาดและการจัดจำหน่าย

ตัวอย่างราคาผลิตภัณฑ์

  • ผลิตภัณฑ์ระดับทั่วไป: มักจะมีราคาตั้งแต่ 500 ถึง 1,500 บาท ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายเครื่องสำอางทั่วไปและออนไลน์
  • ผลิตภัณฑ์ระดับกลาง: ราคาอาจอยู่ในช่วง 1,500 ถึง 3,500 บาท ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักจะมีส่วนผสมของเปปไทด์ที่เข้มข้นขึ้นและมาจากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในวงการสกินแคร์
  • ผลิตภัณฑ์ระดับสูง: ผลิตภัณฑ์พรีเมียมที่มีเปปไทด์คุณภาพสูงและเทคโนโลยีขั้นสูงอาจมีราคาตั้งแต่ 3,500 บาทขึ้นไป และอาจสูงถึงหลายหมื่นบาทในบางกรณี

อย่างไรก็ตาม การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สกินแคร์ที่มีเปปไทด์ควรพิจารณาคุณภาพและความเหมาะสมกับสภาพผิวของตนเองเป็นหลัก ไม่จำเป็นต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่แพงที่สุด แต่ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีรีวิวดีและเหมาะกับความต้องการของผิวของคุณ

เปปไทด์ในสกินแคร์คืออะไร

เปปไทด์ในสกินแคร์คืออะไร

peptide

 

เปปไทด์ในสกินแคร์เป็นส่วนผสมที่ได้รับความนิยมอย่างมากเนื่องจากมีประโยชน์ต่อการดูแลผิว เปปไทด์ (Peptides) คือสายสั้นๆ ของกรดอะมิโนที่เป็นหน่วยย่อยของโปรตีน ในร่างกายของเรา เปปไทด์มีบทบาทสำคัญในการสื่อสารระหว่างเซลล์และกระตุ้นกระบวนการต่างๆ รวมถึงการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินที่ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและแข็งแรง

ในสกินแคร์ เปปไทด์มีประโยชน์หลายประการ ได้แก่:

  1. กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน: คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่สำคัญที่ช่วยให้ผิวดูเต่งตึงและเรียบเนียน เมื่ออายุมากขึ้น การผลิตคอลลาเจนจะลดลง การใช้เปปไทด์สามารถช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ขึ้น
  2. ลดเลือนริ้วรอยและร่องลึก: ด้วยการเพิ่มคอลลาเจนและอิลาสติน เปปไทด์สามารถช่วยลดเลือนริ้วรอยและร่องลึก ทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น
  3. เพิ่มความชุ่มชื้น: เปปไทด์บางชนิดมีคุณสมบัติในการเพิ่มความชุ่มชื้น ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำและสดใส
  4. ลดการอักเสบ: เปปไทด์บางชนิดสามารถลดการอักเสบและการระคายเคือง ทำให้ผิวดูสุขภาพดีขึ้น
  5. เสริมสร้างเกราะป้องกันผิว: การใช้เปปไทด์สามารถช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว ทำให้ผิวมีความแข็งแรงและป้องกันการสูญเสียความชุ่มชื้น

การเลือกใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของเปปไทด์ควรพิจารณาประเภทของเปปไทด์ที่ใช้และวิธีการใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด นอกจากนี้ ควรใช้อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอเพื่อให้เห็นผลอย่างชัดเจนในระยะยาว

หน้าลอกเป็นขุย

หน้าลอก ใช้อะไรดี? 5 วิธีแก้ปัญหาหน้าแห้งลอกเป็นขุยให้อยู่หมัด!

หน้าลอก เกิดจากการที่ผิวหน้าของเราแห้งและลอกเป็นขุย โดยส่วนใหญ่จะมีอาการแสบ คัน และระคายเคืองผิวร่วมด้วย ซึ่งแน่นอนค่ะว่าปัญหาที่ตามมาคือ ผิวดูไม่เนียบเนียน แถมแต่งหน้าแล้วก็ยังเป็นคราบ ทำให้สาว ๆ หลายคนรู้สึกไม่มั่นใจ หากใครกำลังประสบกับปัญหาเหล่านี้อยู่ *Klassycosmetic จะพาไปดูวิธีแก้ปัญหาหน้าแห้งลอกเป็นขุยให้กลับมาชุ่มชื้น และดูสุขภาพดีกว่าที่เคยกันค่าา

หน้าลอกเกิดจาก?

หน้าลอกเกิดจาก
  • ผิวแห้ง : ปัญหาผิวลอกส่วนใหญ่มักจะเกิดกับคนที่มีผิวแห้งเป็นทุนเดิมอยู่แล้วค่ะ และเมื่อต้องเจอกับสภาพอากาศหนาวเย็น และแห้งก็จะยิ่งดูเอาความชุ่มชื้นจากผิวหน้าออกไปจนทำให้หน้าลอกนั่นเองค่าา
  • แสงแดด : นอกจากสภาพอากาศหนาวเย็นแล้ว อากาศร้อนและแสงแดดจัดก็สามารถทำให้เกิดปัญหาหน้าลอกได้เช่นเดียวกันค่ะ คือเมื่อผิวหน้าของเราสัมผัสกับแสงแดดเป็นเวลานาน ๆ โดยไม่มีอะไรป้องกัน จะทำให้ผิวไหม้แดด ผิวแห้งลอก และคล้ำเสียได้ค่ะ เพราะฉะนั้นถ้าสาว ๆ คนไหนจำเป็นต้องออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง อย่าลืมทาครีมกันแดด ใส่หมวก หรือกางร่มเพื่อปกป้องผิวหน้าจากแสงแดดกันด้วยน้าา
  • สารเคมี : เมื่อผิวหน้าของเราสัมผัสกับสารเคมีโดยตรงจะทำให้เกิดการระคายเคืองผิว มีอาการไหม้ และหน้าลอก หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Chemical Peeling นั่นเองค่ะ ซึ่งสารเคมีที่ทำให้หน้าลอกได้ เช่น ปรอท, สเตียรอยด์, สารกันเสีย, น้ำหอม และสี เป็นต้น
  • อาการแพ้ : อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้หน้าลอกคืออาการแพ้ที่เกิดจากผิวหน้าสัมผัสสารเคมี หรือสารก่อภูมิแพ้ที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเกิดกับคนที่มีผิวบอบบางแพ้ง่ายค่าา

วิธีแก้ปัญหาหน้าแห้งลอกเป็นขุย

1. เลือกใช้สกินแคร์ที่ให้ความชุ่มชื้นกับผิว

อย่างที่เราเกริ่นไว้ค่ะว่าปัญหาหน้าลอกส่วนใหญ่มักจะเกิดกับคนที่มีผิวแห้งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว หรือหากอยู่ในสภาพอากาศแห้งและหนาวเย็นก็อาจจะทำให้ผิวแห้งลอกได้ แต่ไม่ต้องกังวลใจไปค่ะ เพราะปัญหาเหล่านี้สามารถรักษาและป้องกันได้ด้วยการเลือกใช้สกินแคร์ที่อ่อนโยนและให้ความชุ่มชื้นกับผิว เช่น ขี้ผึ้ง มอยส์เจอไรเซอร์ หรือครีมบำรุงที่มีส่วนผสมของเชียบัตเตอร์ ไฮยาลูรอนิกแอซิด และเซราไมด์ ซึ่งช่วยเติมความชุ่มชื้นและบรรเทาอาการผิวแห้งลอกให้ดีขึ้น

klassy

  • BIOTHERM Life Plankton™ Essence

    (ราคา 1600 บาท / 75 ml.) : น้ำตบแพลงตอนตัวดังขวดนี้เชื่อว่าต้องเป็นที่หนึ่งในใจสาวผิวแห้ง ผิวขาดน้ำหลายๆ คนค่ะ เพราะเค้าขึ้นชื่อเรื่องช่วยให้ผิวอิ่มฟู ชุ่มชื้นขึ้นมากๆ โดยน้ำตบตัวนี้เค้าก็มีส่วนผสมของ Life Plankton™ สารสกัดจากแพลงตอนน้ำแร่ร้อนธรรมชาติใส่มาถึง 5% ซึ่งตัวน้ำตบจะช่วยให้ผิวเราเรียบเนียนขึ้น ชุ่มชื้น ผิวหน้าเนียนเด้งขึ้น แถมยังช่วยให้ริ้วรอยลดลง ช่วยผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวดูสดใสขึ้นด้วย ที่สำคัญน้ำตบตัวนี้ยังเหมาะกับคนผิวแพ้ง่ายอีกด้วยนะคะ เพราะเค้าช่วยลดการระคายเคืองได้ถึง 95% เลย!
  • KLASSY VITAL SKIN RADIANCE SUPER SERUM
    (ราคา 455 บาท / 50 ml.) :เป็นเซรั่มแบรนด์น้องใหม่ ที่ดูจะคุ่มค่าคุ้มราคามากถ้าเทียบกับ Ingradient ที่ใส่เข้าไปไม่ว่าจะเป็นเปปไทด์ 3 ตัวระดับโลก และด้วย มีสารIngradient ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นสูงกว่า Hyaluronic เฉลี่ยกว่า 33% และ ยาวนาน กว่า 12 ชม.

    ต้องเป็นที่หนึ่งในใจสาวผิวแห้ง ผิวขาดน้ำหลายๆ คนค่ะ เพราะเค้าขึ้นชื่อเรื่องช่วยให้ผิวอิ่มฟู ชุ่มชื้นขึ้นมากๆ โดย

    KLASSY VITAL SKIN RADIANCE SUPER SERUM

    ตัวนี้เค้ามีเทคโนโลยีเนื้อนาโนอิมัลชั่น โมเลกุลขนาดเล็กกว่าเซรั่มทั่วไปอีกด้วยถึง1.5เท่า ทำให้บำรุงผิวล้ำลึกได้กว่าการทาครีมทั่วไป และยังมีงานวิจัยระดับโลก ที่ช่วยเรื่องของริ้วรอย ผิวกระชับไม่หย่อนคล้อย ผิวดูกระจ่างใสดูสุขภาพดี ถือว่าในราคา690บาท 30ML ถือว่าคุ้มค่ามากเลย 

  • Vichy Mineral 89
    (ราคา 290 บาท / 100 ml.) : สำหรับสกินแคร์ตัวแรกนี้เค้าเป็นพรีเซรั่มเหมาะจะใช้ในขั้นตอนแรกของการบำรุงผิวค่ะ โดยเค้าเป็นพรีเซรั่มที่ใส่ส่วนผสมของน้ำแร่ธรรมชาติเข้มข้น จากแหล่งภูเขาไฟฝรั่งเศสมามากถึง 89% เลย! ซึ่งน้ำแร่ตัวนี้ก็เรียกว่าเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ Vichy เค้าเลยล่ะค่ะ โดยตัวน้ำแร่ก็มีแร่ธาตุที่จำเป็นต่อผิวถึง 15 ชนิด จึงช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและแข็งแรงขึ้นมาก นอกจากนี้เค้ายังมีส่วนผสมของไฮยาลูรอน ที่ยังมาช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิวให้นานขึ้น และช่วยลดเลือนริ้วรอยด้วย ขวดนี้นอกจากคนที่ผิวขาดน้ำแล้ว ผิวแพ้ง่ายก็ใช้ได้นะคะ เพราะเค้าเป็นสูตรปราศจากน้ำหอม สารให้สี แอลกอฮอล์ สารกันเสียพาราเบน และซิลิโคน ไม่อันตรายเลย!

2. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าสูตรอ่อนโยน

นอกจากขั้นตอนการบำรุงผิวแล้ว ขั้นตอนการทำความสะอาดผิวหน้าก็สำคัญไม่แพ้กันเลยค่ะ เพราะหากใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่ไม่เหมาะกับสภาพผิวของตัวเองก็อาจจะทำให้หน้าแห้งลอกหนักกว่าเดิม โดยแนะนำให้เลือกใช้เจลล้างหน้าสูตรอ่อนโยน และที่สำคัญจะต้องไม่มีส่วนผสมของ น้ำหอม พาราเบน แอลกอฮอล์ รวมถึงสารผลัดเซลล์ผิวอย่าง กรดแลคติก AHA และ BHA ที่อาจจะทำให้ผิวแห้งลอกเกิดการระคายเคืองได้ง่ายค่าา

  • Physiogel Daily Moisture Therapy Dermo-Cleanser (ราคา 295 บาท / 150 ml.) : เจลล้างหน้าที่ช่วยทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยน หลังล้างหน้านอกจากจะไม่ทำให้ผิวแห้งตึงแล้ว ยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวด้วยน้าา
  • La Roche-Posay Effaclar Purifying Foaming Gel (ราคา 790 บาท / 200 ml.) : เจลล้างหน้าที่มีส่วนผสมของน้ำแร่ธรรมชาติ ช่วยทำความสะอาดสิ่งสกปรกและความมันบนผิวหน้า โดยไม่ทำให้เกิดการระคายเคือง เหมาะสำหรับคนผิวแพ้ง่ายและเป็นสิวสุด ๆ เลยค่ะ
  • Provamed Acniclear Cleansing Gel (ราคา 245 บาท / 200 ml.) : เจลล้างหน้าสูตรอ่อนโยนที่คิดค้นมาเพื่อคนเป็นสิวผิวมันโดยเฉพาะ นอกจากจะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าแล้ว เค้ายังช่วยลดการอักเสบและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนด้วย น่าลองมากกก

3. หลีกเลี่ยงการล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น

สาว ๆ หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าน้ำอุ่นเป็นตัวการหลักที่ทำให้เกิดปัญหาผิวหน้าแห้งลอก เพราะความร้อนจะดึงความชุ่มชื้นออกไปจากผิวจนหมด ทำให้ผิวแห้งกร้านและมีอาการหน้าลอกตามมาได้ ด้วยเหตุนี้จึงแนะนำให้ล้างหน้าด้วยอุณหภูมิปกติจะดีกว่านะคะ

4. ทายาที่ช่วยลดการอักเสบของผิวหนัง

หน้าลอก ใช้อะไรดี? แนะนำให้สาว ๆ ลองรักษาปัญหาหน้าแห้งลอกเป็นขุยด้วยการทายา หรือครีมที่มีส่วนผสมของยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ ซึ่งเป็นยาที่ใช้สำหรับลดการอักเสบของผิวหนัง ลดอาการบวม ผื่นแดง คัน และอาการแพ้อื่น ๆ แต่แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนจะซื้อมาใช้กันด้วยน้าา

5. รักษาหน้าแห้งลอกด้วยวิธีธรรมชาติ

สำหรับสาว ๆ สายออร์แกนิคที่ต้องการรักษาปัญหาหน้าลอกด้วยวิธีธรรมชาติ เราก็มี 3 สูตรรักษาหน้าแห้งลอกที่ทั้งปลอดภัย เห็นผล แถมราคาสบายกระเป๋ามาแนะนำกันแล้ว ว่าแต่จะมีสูตรไหนกันบ้าง รีบตามมาดูกันเลย

  • ว่านหางจระเข้ : ยกให้เป็นสมุนไพรสารพัดประโยชน์เลยค่ะ สำหรับว่านหางจระเข้ที่ช่วยบำรุงผิวให้เนียนนุ่ม ชุ่มชื้น และปลอบประโลมผิวไหม้แดด โดยนำวุ้นของว่านหางจระเข้มาบดให้ละเอียด จากนั้นนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างออก เพียงเท่านี้ก็จะช่วยกู้ผิวแห้งลอกให้กลับมาชุ่มชื้นขึ้นแล้วค่าา
  • น้ำผึ้ง ไข่แดง : นำน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะมาผสมให้เข้ากันกับไข่แดง 1 ฟอง จากนั้นพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออก โดยไข่แดงมีคุณสมบัติโดดเด่นในเรื่องของการเพิ่มความชุ่มชื้น ส่วนน้ำผึ้งมีสารต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบ มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ ช่วยในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ค่าา
  • มะเขือเทศ แตงกวา นมสด : ใครมีปัญหาผิวไหม้และหน้าลอกจากแสงแดด รีบเดินตรงไปที่ห้องครัวแล้วหยิบมะเขือเทศ 1 ลูก และแตงกวา 1 ลูก มาปั่นผสมกับนมสด ½ ถ้วย นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น สูตรนี้นอกจากจะช่วยบรรเทาอาการหน้าลอกให้ทุเลาลงแล้ว ยังช่วยปรับผิวให้กระจ่างใสขึ้นด้วยน้าา

ปัญหาหน้าลอกสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกสภาพผิว ไม่ใช่แค่กับคนผิวแห้งเท่านั้น เพราะฉะนั้นใครไม่อยากหน้าลอกจะต้องให้ความสำคัญกับการดูแลผิวหน้า และที่สำคัญคือจะต้องเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าที่เหมาะกับสภาพผิวของตัวเองกันด้วยนะคะ แต่ถ้าสาว ๆ คนไหนกำลังประสบกับปัญหาหน้าลอกก็ลองนำวิธีแก้ปัญหาที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ไปปรับใช้ในการดูแลผิวหน้ากันได้เลยย รับรองว่าช่วยได้แน่นอนค่าา

ใครไม่อยากหน้าลอก นอกจากการบำรุงผิวแล้ว ต้องอย่าลืมเลือกโฟมล้างหน้าให้เหมาะกับสภาพผิวของตัวเองกันด้วยนะคะ สำหรับใครที่รู้ตัวว่าเป็นสาวผิวแห้งตามมาดูโฟมล้างหน้าสำหรับผิวแห้งกันได้เลยย

7 สกินแคร์ เติมน้ำให้ผิว ผิวแห้ง ผิวขาดน้ำ ใช้แล้วผิวชุ่มชื้น เนียนนุ่ม

ผิวแห้ง ขาดน้ำ จับไปตรงไหนก็แห้งลอก มารีบฟื้นฟูด่วน ด้วย สกินแคร์ เติมน้ำให้ผิว กันดีกว่า! สำหรับสาวคนไหนที่กำลังเจอกับปัญหาผิวแห้ง ผิวขาดน้ำ หน้าแห้งกร้าน ดูไม่เนียนนุ่ม กระชับเหมือนเคย นั่นเป็นสัญญาณว่าผิวของสาวๆ กำลังต้องการความชุ่มชื้นอย่างหนักแล้วล่ะค่ะ ซึ่งใครที่พยายามบำรุงแล้ว แต่ผิวก็ยังแห้งกร้าน ดูไม่สดใสเอาซะเลย รีบมาส่องสกินแคร์ตัวเด็ดที่เรานำมาฝากกันวันนี้เลยค่ะ เป็นสกินแคร์ที่จะช่วยเติมน้ำให้ผิวของสาวๆ ช่วยให้ผิวกลับมาชุ่มชื้น จับแล้วเนียนนุ่ม บอกลาความแห้งกร้านไปเลย!

เติมน้ำให้ผิว ผิวขาดน้ำ ยี่ห้อไหนดี เราไปดูกันเลย

1. Vichy Mineral 89

สำหรับสกินแคร์ตัวแรกนี้เค้าเป็นพรีเซรั่มเหมาะจะใช้ในขั้นตอนแรกของการบำรุงผิวค่ะ โดยเค้าเป็นพรีเซรั่มที่ใส่ส่วนผสมของน้ำแร่ธรรมชาติเข้มข้น จากแหล่งภูเขาไฟฝรั่งเศสมามากถึง 89% เลย! ซึ่งน้ำแร่ตัวนี้ก็เรียกว่าเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ Vichy เค้าเลยล่ะค่ะ โดยตัวน้ำแร่ก็มีแร่ธาตุที่จำเป็นต่อผิวถึง 15 ชนิด จึงช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและแข็งแรงขึ้นมาก นอกจากนี้เค้ายังมีส่วนผสมของไฮยาลูรอน ที่ยังมาช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิวให้นานขึ้น และช่วยลดเลือนริ้วรอยด้วย ขวดนี้นอกจากคนที่ผิวขาดน้ำแล้ว ผิวแพ้ง่ายก็ใช้ได้นะคะ เพราะเค้าเป็นสูตรปราศจากน้ำหอม สารให้สี แอลกอฮอล์ สารกันเสียพาราเบน และซิลิโคน ไม่อันตรายเลย!

  • ขนาด 50 ml.
  • ราคา 1,300 บาท

จุดเด่น

  • เป็นพรีเซรั่ม
  • มีน้ำแร่ธรรมชาติ จากแหล่งภูเขาไฟฝรั่งเศส 89%
  • มีไฮยาลูรอน ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นนานขึ้น
  • เหมาะกับผิวแพ้ง่าย
  • ไม่มีน้ำหอม สารให้สี แอลกอฮอล์ สารกันเสียพาราเบน และซิลิโคน

2. Real Barrier Extreme Cream Ampoule

สำหรับสกินแคร์ตัวนี้ก็เป็นแบรนด์สายเกานั่นเองค่ะ โดยตัวนี้ก็เป็นโลชั่นบำรุงผิว เนื้อน้ำนมเข้มข้น ที่เหมาะสำหรับสาวผิวแห้งสุดๆ ค่ะ ยิ่งใครมีผิวที่ระคายเคืองมาก ผิวมีปัญหาขาดน้ำรุนแรง ตัวนี้จะช่วยให้ความชุ่มชื้นกับผิวได้ดีเลย ทั้งยังช่วยเก็บกักความชุ่มชื้นไว้ภายในชั้นผิวได้ยาวนานอีกด้วย และนอกจากเพิ่มความชุ่มชื้นแล้ว ครีมตัวนี้ยังช่วยลดการระคายเคืองและรอยแดงต่างๆ ได้อีกด้วยนะคะ ใครที่เป็นสาวขี้แพ้ ระคายเคืองง่าย ใช้แล้วผิวแข็งแรงขึ้นแน่นอนจ้า

  • ขนาด 30 ml.
  • ราคา 890 บาท

จุดเด่น

  • เป็นโลชั่น เนื้อน้ำนม
  • ลดการระคายเคืองและรอยแดงต่างๆ
  • เหมาะกับผิวแพ้ง่าย

3. KLASSY VITAL SKIN RADIANCE SUPER SERUM

เป็นเซรั่มแบรนด์น้องใหม่ ที่ดูจะคุ่มค่าคุ้มราคามากถ้าเทียบกับ Ingradient ที่ใส่เข้าไปไม่ว่าจะเป็นเปปไทด์ 3 ตัวระดับโลก และด้วย มีสารIngradient ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นสูงกว่า Hyaluronic เฉลี่ยกว่า 33% และ ยาวนาน กว่า 12 ชม.

ต้องเป็นที่หนึ่งในใจสาวผิวแห้ง ผิวขาดน้ำหลายๆ คนค่ะ เพราะเค้าขึ้นชื่อเรื่องช่วยให้ผิวอิ่มฟู ชุ่มชื้นขึ้นมากๆ โดย

KLASSY VITAL SKIN RADIANCE SUPER SERUM

ตัวนี้เค้ามีเทคโนโลยีเนื้อนาโนอิมัลชั่น โมเลกุลขนาดเล็กกว่าเซรั่มทั่วไปอีกด้วยถึง1.5เท่า ทำให้บำรุงผิวล้ำลึกได้กว่าการทาครีมทั่วไป และยังมีงานวิจัยระดับโลก ที่ช่วยเรื่องของริ้วรอย ผิวกระชับไม่หย่อนคล้อย ผิวดูกระจ่างใสดูสุขภาพดี ถือว่าในราคา690บาท 30ML ถือว่าคุ้มค่ามากเลย 

  • ขนาด 30 ml. 
  • ราคา 690 บาท

จุดเด่น

  • ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นสูง กว่า Hyaluronic เฉลี่ยกว่า 33%
  • เพิ่มความชุ่มชื้นยาวนานกว่า 12 ชม.
  • เหมาะกับผิวแพ้ง่าย 
  • ลดการระคายเคืองได้ 95%
  • ผิวดูกระจ่างใส
  • ผิวชุ่มชื้น อิ่มฟู เรียบเนียน ริ้วรอยดูจางลง
  • ลดเลือน ฝ้ากระ จุดด่างดำ

4. Laneige Water Bank Moisture Essence

เป็นสกินแคร์สายเกาอีกตัวค่ะ ที่ดีงามเรื่องเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวมากๆ ซึ่งตัวนี้เค้าก็เป็นมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มาในรูปแบบเอสเซนส์ค่ะ เนื้อเอสเซนส์จึงบางเบา ไม่เหนอะหนะ แต่เข้มข้นสุดๆ ซึ่งเค้าก็มีส่วนผสมเด่นๆ อย่าง Green Mineral Water ที่ได้จากผัก 6 ชนิด และน้ำแร่จากใต้ทะเลลึก ซึ่งส่วนผสมตัวนี้จะช่วยล็อคความชุ่มชื้นไว้ในผิว ช่วยให้ผิวชุ่มฉ่ำยาวนานตลอดวันเลย ใครที่มีปัญหาผิวแห้งเป็นขุยระหว่างวัน แต่งหน้าไม่ติด ใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์อื่นแล้วยังรู้สึกว่าผิวแห้งกร้านอยู่ดี ต้องเปลี่ยนมาลองตัวนี้เลยค่า

  • ขนาด 70 ml.
  • ราคา 1,650 บาท

จุดเด่น

  • เป็นมอยส์เจอร์ไรเซอร์แบบเอสเซนส์
  • เนื้อบางเบา ไม่เหนอะหนะ
  • มี Green Mineral Water ได้จากผัก 6 ชนิด และน้ำแร่จากใต้ทะเลลึก ช่วยล็อคความชุ่มชื้น
  • ลดปัญหาผิวแห้งเป็นขุยระหว่างวัน แต่งหน้าไม่ติด

5. SOS Hyaluron & Ceramide X3 Moisturizing Cream

ข้ามมาฝั่งญี่ปุ่นกันบ้างค่ะ สำหรับตัวนี้ก็บอกเลยว่าเป็นแบรนด์ที่ฮิตสุดๆ ในญี่ปุ่นเลย โด่งดังเรื่องไฮยาลูรอนมากๆ โดยครีมตัวนี้เค้าก็มีส่วนผสมของไฮยาลูรอนช่วยเติมเต็มและกักเก็บความชุ่มชื้นเช่นกันค่ะ และยังมาพร้อมกับเซราไมด์เข้มข้น 3 ชนิด ที่จะช่วยปรับสมดุลให้ผิวแข็งแรง ลดการอักเสบและระคายเคืองผิวด้วย จะผิวบอบบางระคายเคืองง่าย หรือผิวขาดน้ำก็ใช้ตัวนี้ได้เลยค่า

  • ขนาด 30 ml.
  • ราคา 690 บาท

จุดเด่น

  • มีไฮยาลูรอน ช่วยเติมเต็มและกักเก็บความชุ่มชื้น
  • มีเซราไมด์เข้มข้น 3 ชนิด ช่วยปรับสมดุลให้ผิวแข็งแรง
  • ลดการอักเสบและระคายเคือง

6. MizuMi Dry Rescue Intense Melt-In Cream

สำหรับสกินแคร์ตัวนี้เรียกว่าเป็นมอยเจอร์ไรเซอร์สูตรเข้มข้น สำหรับผิวแห้งขาดน้ำโดยเฉพาะเลย! แม้จะเป็นสูตรเข้มข้นแต่ตัวเนื้อครีมซึมเร็วไม่เหนอะหนะเลยค่ะ โดยเค้ามีส่วนผสมอย่าง AquaxylTM เข้มข้น 3% ที่สกัดจาก Natural Sugar Complex 3 ชนิด ซึ่งจะช่วยเติมน้ำให้ผิวทันทีที่ใช้ ลดการสูญเสียน้ำ และรักษาความชุ่มชื้นได้นานถึง 48 ชั่วโมงเลย นอกจากนี้ยังมี 3D Hyaluron ไฮยารูลอน 3 ขนาดโมเลกุล ที่ช่วยให้ผิวอุ้มน้ำได้ดียิ่งขึ้น ช่วยให้ผิวแข็งแรงไม่อักเสบง่าย แถมครีมตัวนี้เค้ายังช่วยปกป้องผิวจากฝุ่นละออง และ PM 2.5 ได้อีกด้วยนะจ๊ะ!

  • ขนาด 45 ml.
  • ราคา 1690 บาท

จุดเด่น

  • เป็นมอยเจอร์ไรเซอร์สูตรเข้มข้น
  • เหมาะสำหรับผิวแห้งขาดน้ำโดยเฉพาะ
  • มี AquaxylTM เข้มข้น 3% สกัดจาก Natural Sugar Complex 3 ชนิด ช่วยเติมน้ำให้ผิวทันที
  • รักษาความชุ่มชื้นนาน 48 ชั่วโมง

7. BIOTHERM Life Plankton™ Essence

น้ำตบแพลงตอนตัวดังขวดนี้เชื่อว่าต้องเป็นที่หนึ่งในใจสาวผิวแห้ง ผิวขาดน้ำหลายๆ คนค่ะ เพราะเค้าขึ้นชื่อเรื่องช่วยให้ผิวอิ่มฟู ชุ่มชื้นขึ้นมากๆ โดยน้ำตบตัวนี้เค้าก็มีส่วนผสมของ Life Plankton™ สารสกัดจากแพลงตอนน้ำแร่ร้อนธรรมชาติใส่มาถึง 5% ซึ่งตัวน้ำตบจะช่วยให้ผิวเราเรียบเนียนขึ้น ชุ่มชื้น ผิวหน้าเนียนเด้งขึ้น แถมยังช่วยให้ริ้วรอยลดลง ช่วยผลัดเซลล์ผิว ทำให้ผิวดูสดใสขึ้นด้วย ที่สำคัญน้ำตบตัวนี้ยังเหมาะกับคนผิวแพ้ง่ายอีกด้วยนะคะ เพราะเค้าช่วยลดการระคายเคืองได้ถึง 95% เลย!

  • ขนาด 75 ml. / 125 ml. / 200 ml.
  • ราคา 1,600 / 2,550 / 3,250 บาท

จุดเด่น

  • มี Life Plankton™ สารสกัดจากแพลงตอนน้ำแร่ร้อนธรรมชาติ 5%
  • ช่วยผลัดเซลล์ผิว
  • เหมาะกับผิวแพ้ง่าย
  • ลดการระคายเคืองได้ 95%

เช็คสภาพผิวง่ายๆ ด้วยตัวเอง… สภาพผิวแบบไหน ใช่ของคุณ

มาเช็คสภาพผิวง่ายๆ ด้วยตัวเอง… สภาพผิวแบบไหน ใช่ของคุณ

การดูแลผิวให้ถูกต้องและเหมาะสมเป็นเรื่องที่ควรทำมากๆ ดังนั้นเราควรต้องทำความรู้จักสภาพผิวหน้าตัวเองให้ดี เรียกได้ว่าต้องรู้ใจผิวคุณก่อน ดังนั้นเราถึงจะสามารถเลือกครีมบำรุงผิวได้ถูกต้องเหมาะกับแต่ละสภาพผิว เพราะบางคนยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับผิวแต่ประเภทอยู่มาก บางคนหน้าแห้งแต่ใช้ครีมบำรุงที่ควมคุมความมัน จากหน้าปังก็พังได้นะคะ

ผิวธรรมดา Normal skin

ผิวไม่มัน ไม่แห้ง รูขุมขนเล็ก เนียนเหมือนผิวเด็กผิวแห้ง : รู้สึกหน้าแห้ง ตึง ใช้หลังมือแตะแล้วรู้สึกสากหรือหยาบกร้าน อาจมีการลอกเป็นขุยผิวมัน : ผิวมันทั่วทั้งใบหน้า ถ้าใช้ซับมันซับแล้วมีน้ำมันติดออกมาผิวผสม : ผิวมันช่วงหน้าผาก จมูก คาง (T-Zone) แต่ช่วงแก้มแห้งผิวเป็นสิว : มีสิวทุกชนิดบนใบหน้า สิวอักเสบ อุดตัน สิวเสี้ยน ผิวมีอาการแดงง่ายผิวบอบบางแพ้ง่าย : ใช้อะไรก็แพ้ เป็นผื่น ผด เป็นสิวบ่อย ใครมีผิวธรรมดานี่เรียกว่าโชคดีมากกก ผิวมีการผลิตน้ำมันได้สมดุล ไม่แห้ง ไม่มันเกินไป เลยไม่ค่อยมีปัญหา การใช้สกินแคร์ เน้นดูแลผิวตามสภาพอากาศเป็นหลัก จะใช้สกินแคร์เนื้อ โลชั่น เจล ครีม หรือ ออยล์ ก็ได้  หน้าร้อนอาจจะใช้ครีมบำรุงเนื้อน้ำ เนื้อเจล จะได้เบาสบายผิว ส่วนหน้าหนาว หรือสาวๆ ที่ต้องทำงานห้องแอร์เป็นประจำทุกวันอาจจะเพิ่มความเข้มข้นขึ้นเป็นเนื้อครีม หรือ ออยล์ได้จ้า

ผิวแห้ง Dry skin

ผิวผลิตน้ำมันน้อยกว่าผิวแบบอื่นๆ และไม่ค่อยแข็งแรง เลยเก็บน้ำไว้ในผิวไม่ค่อยได้ เหมาะกับ สกินแคร์ที่ให้ความชุ่มชื่นกับผิว (Moisturizer) แนะนำเป็นพิเศษคือพวก ครีมที่เนื้อเข้มข้น, ออยล์ หรือ บาล์ม จะช่วยเคลือบผิว และกักเก็บความชุ่มชื่นให้ผิวได้ดี ส่วนผสมที่ดีต่อผิวแห้ง ก็เช่น เซราไมด์ (Ceramides) จ้า* สกินแคร์ที่ ผิวแห้ง ควรเลี่ยง *เลี่ยงสกินแคร์ที่มีแอลกอฮอล์ เพราะยิ่งทำให้ผิวแห้งยิ่งกว่าเดิม รวมถึงกันแดดเนื้อซิลิโคน กันแดดไยไหม และสาวผิวแห้งไม่ควรใช้พวกสครับ (Scrub/Exfoliator) เพราะจะยิ่งทำให้ผิวแห้งลอก ระคายเคืองมากยิ่งขึ้น

ผิวมัน Oily skin

ผิวมันเป็นผิวที่ปัญหาเยอะที่สุดเพราะผลิตน้ำมันออกมาเยอะเกินไป รูขุมขนกว้าง สิ่งสกปรกเกาะผิวง่าย เลยเป็นสิวอุดตันง่าย สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผิวมันคือการคุมปริมาณน้ำมันบนผิวให้สมดุล แนะนำให้ใช้สกินแคร์เนื้อเบาๆ เช่น เนื้อน้ำ เนื้อเซรั่ม เนื้อเจล จะได้บางเบาผิว ไม่อุดตันง่าย และควรใช้โทนเนอร์หลังล้างหน้าเพื่อปรับสภาพผิวด้วยนะอย่าลืมล้างหน้าให้สะอาดเพื่อลดการเกิดสิว และควรจะใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิวมันโดยเฉพาะ (Oil Control/Oil Free)*สกินแคร์ที่ ผิวมัน ควรเลี่ยง*ครีมเนื้อหนักๆ หรือน้ำมัน เพราะอาจอุดตันผิวได้ง่าย

ผิวผสม Combination skin

ผิวผสมดูแลให้สมดุลยากหน่อย เพราะมีทั้งผิวมัน ผิวแห้ง ต้องเน้นดูแลเรื่องความมันส่วนเกินบริเวณ T-Zone เป็นหลัก ถ้าใช้สกินแคร์ที่เขียนว่า เหมาะสำหรับผิวผสมได้ก็จะยิ่งดี สกินแคร์สำหรับผิวผสม ใช้เนื้อเบาๆ เช่น เนื้อน้ำ เนื้อเจล บริเวณที่มัน ส่วนตรงที่แห้งก็บำรุงหนักหน่อย ใช้ครีมหรือออยล์ลงไปเลยจ้า*สกินแคร์ที่ ผิวผสม ควรเลี่ยง*ผิวส่วนที่แห้ง อย่าใช้สกินแคร์ที่มีแอลกอฮอล์ ผิวส่วนที่มัน ก็อย่าใช้ครีมที่มีความมันมากเกินไป

ผิวแพ้ง่าย Sensitive skin

สภาพผิวแบบนี้ เรียกว่าบอบบางสุดๆ โดนฝุ่น สารเคมี หรืออะไรแปลกๆ นิดหน่อยก็มักจะคัน แห้งลอก บวม แสบ เป็นผื่น หรือถ้าแพ้หนักก็อาจเป็นถึงตุ่มใส ควรใช้พวกเวชสำอาง หรือสกินแคร์ที่ผ่านการทดสอบสำหรับผิวแพ้ง่ายโดยเฉพาะ (Hypoallergenic-tested)  แต่ไม่ว่าผลิตภัณฑ์นั้นจะอ่อนโยนแค่ไหนก็ควรจะเทสต์ก่อนใช้เสมอนะคะ*สกินแคร์ที่ ผิวแพ้ง่าย ควรเลี่ยง*พวกที่มีส่วนผสมของน้ำหอม แอลกอฮอล์ พาราเบน อาจจะต้องเช็คว่าตัวเองแพ้ส่วนผสมไหน และควรเลี่ยงสกินแคร์ผลัดเซลล์ผิวที่มีพวกกรด AHA, BHA เพราะอาจระคายเคืองผิวได้จ้า

ผิวมีปัญหาสิว

ผิวแบบนี้ก็ค่อนข้างจะดูแลยากหน่อย ไม่ว่าจะสภาพผิวแห้ง มัน ผสม ก็อาจจะเป็นผิวมีปัญหาสิวได้ เพราะฉะนั้นต้องดูแลและหมั่นสังเกตผิวตัวเองอยู่เรื่อยๆ ไม่ควรใช้สกินแคร์มั่วๆ เน้นสกินแคร์ที่เนื้อเหลวและเบาหน่อย จะได้ไม่อุดตันผิวง่าย ถ้าจะให้ดีก็มองหาผลิตภัณฑ์ที่เขียนว่า สำหรับผิวเป็นสิว (Acne-prone skin) จ้า*สกินแคร์ที่ ผิวมีปัญหาสิว ควรเลี่ยง*ครีมเนื้อหนักๆ หรือออยล์ ที่มีความมันเยอะๆ อาจจะทำให้อุดตัน เป็นสิวง่ายกว่าเดิมได้

วิธีเช็คสภาพผิวง่ายๆ ต่อไปไม่ว่าจะเป็นการเลือกครีมบำรุงผิวหรือวิธีดูแลก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ที่จะดูแลผิวของคุณได้อย่างถูกต้องแล้วนะคะ

7วิธีทำให้ผิวขาว ภายใน 1 อาทิตย์ แบบธรรมชาติและปลอดภัยที่สุด

อยากผิวขาวและกระจ่างใส นั้นเป็นสิ่งที่สาวๆ และหนุ่มๆทุกคนต่างต้องการ แต่การที่จะมีผิวสวยไร้ที่ติก็ต้องผ่านการดูแลตัวเอง แม้จะมีวิธีทำให้ผิวขาวและเนียนใสขึ้นได้ แต่ละวิธีก็ให้ผลลัพธ์ที่ต่างกันออกไป สำหรับใครที่กำลังมองหาวิธีทำให้ผิวขาวขึ้น มี 7 วิธีที่ตอบโจทย์ ควรเลือกวิธีที่เหมาะสมเพื่อให้ผิวขาวแบบเป็นธรรมชาติ

รู้สาเหตุหลักของผิวหมองคล้ำ เกิดจาอะไร?

สาเหตุของผิวดูหมอง ไม่ขาวกระจ่าง ขาดความสดใส เกิดได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน ซึ่งส่วนมากมาจากการดูแลตัวเองและการใช้ชีวิตประจำวัน โดยมีปัจจัยที่เป็นต้นเหตุหลักๆ ดังนี้

  1. ผิวโดยทำร้ายจากแสง UV ทำให้เกิดความคล้ำ
  2. การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสารก่อการระคายเคือง เช่น แอลกอฮอล์ พาราเบน หรือน้ำหอม
  3. การสะสมของเซลล์ผิวเก่าที่ตายแล้วและไม่ถูกกำจัดออก
  4. โดนแสงสีฟ้าจากหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
  5. พักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้ร่ายกายไม่ได้ฟื้นฟูเซลล์ผิวที่เสียหาย
  6. ความเครียดสะสม ทำกระทบต่อการทำงานของเม็ดสีเมลานินในผิว

วิธีทําให้ผิวขาว และเห็นผลไวที่สุด

1. ขัดผิวให้ขาวด้วยมะขามเปียก

ปัญหาผิวเสียที่เกิดขึ้นจากการทำความสะอาดผิวได้ไม่สะอาดเพียงพอ ขาดการผลัดเซลล์ผิว ทำให้สะสมจนกลายเป็นความหมองคล้ำ สามารถแก้ได้ด้วยการขัดผิวหรือสครับเพื่อช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าทิ้งไป กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ซึ่งมะขามเปียกเป็นตัวช่วยที่ดี เพราะมีวิตามินซีและกรด AHA ช่วยให้ผิวกระจ่างใสขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผลลัพธ์ที่ได้ : ผิวกระจ่างใสขึ้นทันทีในครั้งแรกที่ขัด ได้ความชุ่มชื้นด้วยในตัว ทำให้ผิวเนียนนุ่มขึ้น สามารถขจัดขี้ไคลที่เกิดจากการหมักหมมของเหงื่อและสิ่งสกปรกให้หลุดออกไปได้ดี

2. ดื่มน้ำให้ผิวสวย

การดื่มน้ำเป็นวิธีพื้นฐานที่ช่วยในการบำรุงผิวพรรณให้กระจ่างใส เนื่องจากร่างกายใช้น้ำในการหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ รวมถึงผิวหนัง โดยปกติการดื่มน้ำให้เพียงพอควรอยู่ที่ 8 – 10 แก้วต่อวัน อีกทั้งยังช่วยขับสารพิษต่างๆ ออกจากร่างกายของเรา เป็นวิธีง่ายๆ ที่ช่วยให้ผิวขาวขึ้น พร้อมสุขภาพที่ดีอีกด้วย และยังช่วยลดความแห้งกร้านเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวกาย

ผลลัพธ์ที่ได้ : ร่างกายสดชื่นขึ้น สุขภาพดีทั้งกายใจ ส่งผลให้ผิวหนังมีความชุ่มชื้น กระจ่างใสขึ้นแบบเป็นธรรมชาติ ผิวแข็งแรงมากยิ่งขึ้น ดูสดใส

3. กินวิตามินซีบำรุงผิว

วิตามินซีที่มาในรูปแบบอาหารเสริมไม่ว่าจะเป็นแบบเม็ดหรือแบบผงชงกับน้ำดื่ม เป็นวิธีการช่วยเพิ่มความขาวกระจ่างใสให้กับผิวที่ได้รับความนิยม มีผลิตภัณฑ์ให้เลือกหลากหลายราคาและตอบโจทย์ความต้องการ รวมทั้งทำได้ง่ายเมื่อเทียบกับการกินผักผลไม้สด

ผลลัพธ์ที่ได้ : ลดความหมองคล้ำ ช่วยให้ผิวขาวขึ้น มีความโกลว์สวยจากภายใน ทำให้บุคลิกภาพดีขึ้น เพิ่มความมั่นใจได้เป็นอย่างดี

4. ทาครีมบำรุงผิว

ปัจจุบันมีครีมบำรุงผิวที่เน้นผลิตขึ้นมาเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาผิวหมองคล้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งครีมที่มีส่วนผสมของวิตามินซีและไวท์เทนนิ่ง การเลือกใช้ครีมในการบำรุงอย่างสม่ำเสมอก็สามารถช่วยให้ผิวขาวขึ้นได้เช่นกัน

ผิวใสอิ่มฟู

ผลลัพธ์ที่ได้ : ลดความหมองคล้ำ ช่วยให้ผิวขาวขึ้น มีความโกลว์สวยจากภายใน ทำให้บุคลิกภาพดีขึ้น เพิ่มความมั่นใจได้เป็นอย่างดี

5. ทาครีมกันแดดปกป้องผิวเมื่อต้องเจอแดด

สาเหตุความหมองคล้ำอันดับต้นๆ ของผิวมาจากการโดนแสงแดดทำร้าย วิธีที่จะช่วยป้องกันผิวคล้ำได้ดีที่สุดจึงเป็นการทาครีมกันแดดที่มี SPF 15 ขึ้นไป ในปริมาณเหมาะสม แม้ไม่ได้เน้นช่วยเพิ่มความขาวแต่ก็เป็นการแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นตอได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผลลัพธ์ที่ได้ : ผิวแข็งแรง ทนต่อแสง UV ได้ดียิ่งขึ้น ลดปัญหาความหมองคล้ำที่เกิดจากการโดนแสงอาทิตย์ เห็นผลได้ดีโดยเฉพาะกับคนที่ต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งเป็นประจำ

6. กินผลไม้บำรุงผิวพรรณ

วิตามินซีเป็นแร่ธาตุและสารอาหารสำคัญที่ช่วยซ่อมแซมร่างกาย มีคุณสมบัติที่ช่วยเรื่องเพิ่มความกระจ่างใสให้กับผิวได้ดี โดยพบได้ในผักผลไม้ เช่น ส้ม ฝรั่ง มะนาว คะน้า บร็อคโคลี่ และผลไม้ตระกูลเบอร์รี ซึ่งร่างกายควรได้รับในปริมาณ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน

ผลลัพธ์ที่ได้ : ผิวขาวกระจ่างใสขึ้นแบบเป็นธรรมชาติ ลดความหมองคล้ำที่เกิดจากมลภาวะอย่างแสงแดดและฝุ่นควัน ดูมีออร่าเปล่งประกาย พร้อมเสริมภูมิต้านทานให้กับผิวดียิ่งขึ้น

7. ปรับผิวให้ขาวใสด้วยมะนาว

มะนาวถือเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่อุดมได้ด้วยวิตามินซี และสารไวท์เทนนิ่งที่มีส่วนช่วยในการปรับผิวให้มีความกระจ่างใสด้วยการบีบน้ำมะนาว 1 ซีกผสมกับโลชั่นทาตัวและนำไปทาผิว หรือใช้น้ำมะนาวไปผสมกับน้ำผึ้งโยเกิร์ตแล้วไปพอกที่ผิวทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาทีแล้วล้างออก

ผลลัพธ์ที่ได้ : ผิวมีความเนียนกระจ่างใสขึ้นมากยิ่งขึ้น พวกรอยดำ รอยแผลเป็น รวมไปถึงปัญหาข้อศอกดำด้านค่อยๆ จางหายไป

ล้างหน้า 60 วินาทีช่วยผิวใสได้จริง

ล้างหน้า 60 วินาทีช่วยผิวใสได้จริง

ล้างหน้า 60 วินาทีช่วยผิวใสได้จริง
 

บทความ ล้างหน้า 60 วินาทีช่วยผิวใสได้จริง

บน Twitter ของคุณ Roberts-Smith ได้เขียนบทความเอาไว้ว่า  
“การทำความสะอาดใบหน้า (ด้วยมือ) เป็นเวลา 60 วินาที จะทำให้ส่วนผสมในน้ำยาทำความสะอาด หรือ Cleansing ทำงานได้ดีขึ้นจริง” 
ขณะที่เธอเขียนว่า “คนส่วนใหญ่ล้างหน้าเป็นเวลาสูงสุดเพียง ประมาณ 15 วินาทีเท่านั้น 
ส่วนการล้างหน้า 60 วินาที จะช่วยให้ผิวนุ่มขึ้น และละลายการอุดตันของไขมันในชั้นผิวได้ดีขึ้น ผิวโดยรวมจะดูเรียบเนียนและสม่ำเสมอขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน”
 
วิธีนี้เป็นการแก้ไขที่ง่ายและรวดเร็วมากๆค่ะ แทนที่จะใช้เงิน 60 เหรียญไปกับครีมหน้าใส เพียงแค่ทำความสะอาดผิวหน้าเพิ่มอีก 45 วินาทีเท่านี้เองจริงๆ
 
ในชีวิตที่ยุ่งวุ่นวายของเรา การล้างหน้าอาจต้องรีบเร่ง หรือแม้กระทั่งการอาบน้ำ เคล็ดลับความงามด้วยการล้างหน้าเป็นเวลา 60 วินาทีถือเป็นแนวทางที่ดี 
 
Purvisha Patel แพทย์ผิวหนัง กล่าวว่า การล้างหน้าวิธีนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าได้ใช้น้ำยาทำความสะอาด หรือ Cleaning ทำงานขจัดคราบสกปรกบนผิวก่อนที่จะล้างออก โดยล้างหน้าแต่ละด้าน แบ่งเป็นสี่ส่วน ส่วนละ 15 วินาที ครบ 60 วินาทีนั่นเอง
หากคุณเคยทำหน้า คุณจะสังเกตเห็นว่าช่างเสริมความงามใช้เวลาหนึ่งนาทีหรือมากกว่านั้นในการทำความสะอาดผิว โดยกำจัดเครื่องสำอางและน้ำมันที่อยู่บนใบหน้าทั้งหมด ตามที่ Natalie Fairchild ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามและนักบำบัดผิวหนังกล่าวว่า เวลาพิเศษนี้จะช่วยให้แน่ใจว่าผิวของคุณจะได้รับการทำความสะอาดอย่างทั่วถึง
 
“การทำความสะอาดเป็นเวลา 60 วินาที โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้น้ำยาทำความสะอาดแบบน้ำมันหรือบาล์ม จะช่วยให้ผิวนุ่มขึ้น ทำความสะอาดรูขุมขน และทำความสะอาดมลภาวะ เครื่องสำอาง และเหงื่อที่เกิดขึ้นระหว่างวัน” 
แฟร์ไชลด์กล่าว สิ่งสำคัญไม่แพ้กันกว่าการทาครีม คือการทำความสะอาดผิวหน้า
 
Ariel Ostad แพทย์ผิวหนังที่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการในนิวยอร์ก กล่าวว่าการทำความสะอาดอย่างเหมาะสมจะรักษาเกราะป้องกันตามธรรมชาติของผิว แม้ว่าจะขจัดสิ่งสกปรกและน้ำมันส่วนเกินออกไปก็ตาม “เกราะป้องกันผิวของคุณทำงานอยู่เสมอเพื่อปกป้องใบหน้าของคุณจากสารเคมี ส่วนผสมภายในผลิตภัณฑ์ และทำให้แน่ใจว่ามลภาวะจะไม่เข้าไป” Ostad กล่าวว่า น้ำยาทำความสะอาดเนื้อบางเบาช่วยขจัดผิวที่ตายแล้ว โดยไม่รบกวนการปกป้องที่ร่างกายของคุณ
 
ผู้ที่เป็นสิวอาจได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติตามกฎ 60 วินาที “ผู้ที่มีสิวโดยทั่วไปจะได้รับประโยชน์จากการล้างหน้าเป็นเวลาหนึ่งนาที เนื่องจากจะช่วยขัดรูขุมขนที่อุดตัน ทำความสะอาดรูขุมขน และชะล้างน้ำมันส่วนเกินและผิวหนังที่ตายแล้ว” Patel กล่าว
 
เช่นเดียวกับคำแนะนำในการดูแลผิวอื่นๆ ให้สังเกตว่าผิวของคุณตอบสนองอย่างไรในขณะนั้น หากรู้สึกตึงหรือลอกผิวหลังทำความสะอาด นั่นอาจเป็นสัญญาณว่า 60 วินาทีนั้นนานเกินไป Ostad มักมองว่า “การทำความสะอาดมากเกินไป” ในทางปฏิบัติ ซึ่งอาจนำไปสู่อาการแห้งและอักเสบได้
 
“เราอาศัยอยู่ในวัฒนธรรมที่เรารู้สึกว่าต้องล้างหน้าหลายครั้งต่อวัน ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปอาจนำไปสู่ปัญหาต่างๆ เช่น สิวจากการระคายเคืองที่เกิดจากการล้างหน้ามากเกินไป” เขากล่าว เพื่อป้องกันการระคายเคือง Ostad แนะนำให้ผู้ป่วยที่มีปัญหาเหล่านี้ใช้เวลาทำความสะอาด 20 หรือ 30 วินาทีก็เพียงพอแล้ว
 
อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างประเทศ : www.indianexpress.com
skin type by klassycosmatic

ผิวของคุณเป็นแบบไหนกันนะ?

แบบทดสอบผิวของตัวเองนั้น เป็นผิวประเภทไหน?

สาวๆรู้หรือไม่ว่าผิวของตัวเองนั้นเป็นผิวประเภทไหน ลองมาเช็คสภาพผิวของตัวเองกันนะคะ เพียงแค่ทำแบบสอบถาม      7 ข้อนี้ด้วยตัวเอง เลือกคำตอบที่ใกล้เคียงกับตัวเองมากที่สุด แล้วมาแชร์กันนะคะว่าสาวๆมีสภาพผิวแบบไหนกันบ้าง

หมายเหตุ : แบบทดสอบนี้เป็นเพียงการคาดเดาเบื้องต้นจากลักษณะทั่วไปของแต่ละสภาพผิว คำตอบทีได้อาจไม่ตรงเป๊ะ 100% เนื่องจากสภาพผิวของแต่ละบุคคล มีลักษณะเฉพาะมีปัญหาผิวและปัจจัยการใช้ชีวิตประจำวันที่แตกต่างกันนะคะ
 
1. หากคุณต้องล้างหน้าด้วยโฟมล้างหน้าหลังล้างหน้า คุณรู้สึกอย่างไร
 
ก. ผิวแห้งและตึง บางครั้งมีอาการคันร่วมด้วย
 
ข. รู้สึกผิวขาดความชุ่มชื้น แห้งเล็กน้อย ไม่ตึงผิว จะกลับมาสมดุลได้ในไม่ช้า
 
ค. รู้สึกสะอาด แต่รู้สึกแห้งในช่วงบริเวณหน้าแก้มและรอบดวงตา
 
ง. รู้สึกสะอาดหมดจดทั่วทั้งใบหน้า หรือหลงเหลือความมันอยู่บนผิวในบางครั้ง
 
 
2. 2 ชั่วโมงหลังจากล้างหน้าโดยไม่ทามอยเจอร์ไรเซอร์ ผิวของคุณเป็นอย่างไร
 
ก. ผิวแห้งขาดความชุ่มชื้น
 
ข. ผิวไม่แห้งและไม่มัน
 
ค. มีความมันบริเวณหน้าผากจมูกและคาง
 
ง. มีความมันทั่วทั้งใบหน้า
 
 
3. ในฤดูหนาวถ้าไม่ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ ผิวของคุณจะเป็นอย่างไร
 
ก. หน้าแห้งลอกเป็นขุย อาจมีอาการคันร่วมด้วย
 
ข. ขาดความชุ่มชื้นทั่วทั้งใบหน้า แต่ไม่ลอกหรือเป็นขุย
 
ค. บริเวณหน้าผากจมูกคางปกติดี แต่ขาดความชุ่มชื้นจนถึงแห้ง บริเวณหน้าแก้มและรอบดวงตา
 
ง. ผิวคุณปกติดี ไม่รู้สึกว่าผิวแห้ง
 
 
4. ในรูปถ่ายผิวของคุณมีความมันวาวหรือไม่
 
ก. แทบไม่เคยสังเกตเห็นความมันวาวเลย
 
ข. มีความมันบ้างนานๆครั้ง
 
ค. มีความมันวาวบริเวณบริเวณหน้าผาก จมูกและคางเป็นประจำ
 
ง. มีความมันวาวทั่วทั้งใบหน้าเป็นประจำ
 
 
5. รูขุมขนของคุณมีลักษณะเป็นอย่างไร
 
ก. สังเกตไม่ค่อยเห็นรูขุมขน
 
ข. สังเกตเห็นรูขุมขนบ้างแต่น้อย
 
ค. สังเกตเห็นรูขุมขนได้ชัด บริเวณหน้าผากจมูกและคาง
 
ง. สังเกตเห็นรูขุมขนได้ชัด ทั่วทั้งใบหน้า
 
 
6. คุณเป็นสิวบ่อยแค่ไหน
 
ก. คุณไม่ค่อยมีปัญหาสิว
 
ข. คุณเป็นสิวบ้างนานๆครั้ง มักจะเกิดในช่วงที่อากาศร้อนหรือฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง
 
ค. คุณจะเป็นสิวบ่อยที่บริเวณหน้าผากจมูกและคาง
 
ง. คุณเป็นสิวประจำ และมีสิวบริเวณหน้าแก้มร่วมด้วย
 
 
7. สกินแคร์แบบไหนที่ทำให้ผิวของคุณมีความสมดุลไม่แห้งไม่มันจนเกินไป
 
ก. สกินแคร์เนื้อออยล์ครีม หรือบาล์มที่มอบความความชุ่มชื้นนุ่มลื่นให้แก่ผิว
 
ข. สกินแคร์เปลี่ยนไปตามสภาพอากาศ สามารถใช้ได้ทั้งสกินแคร์เนื้อหนักและเนื้อบางเบา
 
ค. สกินแคร์เนื้อน้ำเนื้อนมหรือเซรั่มที่ให้ความรู้สึกบางเบา แต่ยังคงมอบความชุ่มชื้นนุ่มลื่นให้แก่ผิว
 
ง. สกินแคร์เนื้อน้ำเนื้อนม หรือเซรั่มที่ให้ความรู้สึกบางเบาไม่มันแห้งไว
 
 
คราวนี้ มาดูเฉลยกันเลยดีกว่า…
 
* คำตอบส่วนใหญ่เป็น = โดยพื้นฐานแล้วคุณมี ผิวแห้ง
 
* คำตอบส่วนใหญ่เป็น = โดยพื้นฐานแล้วคุณมี ผิวธรรมดา
 
* คำตอบส่วนใหญ่เป็น = โดยพื้นฐานแล้วคุณมี ผิวผสม
 
* คำตอบส่วนใหญ่เป็น =โดยพื้นฐานแล้วคุณมี ผิวมัน
 
* คำตอบส่วนใหญ่เป็น ก/ข กับ ค เท่ากัน = โดยพื้นฐานแล้วคุณมี ผิวผสม
 
* คำตอบส่วนใหญ่เป็น ก/ข กับ ง เท่ากัน = โดยพื้นฐานแล้วคุณมี ผิวผสม
 
เป็นอย่างไรกันบ้างค่ะ ข้อดีคือ ถ้าเรารู้สภาพผิวของเราแล้ว เราก็จะสามารถเลือกครีม หรือ เซรั่มบำรุงผิวที่เหมาะกับผิวเราได้ค่ะ Klassy Super Serum จึงได้พัฒนาและปรับสูตรให้เหมาะกับทุกสภาพผิว ผิวแพ้ง่ายใช้ได้ ที่สำคัญเนื้อเซรั่ม เหมาะกับสภาพอากาศในเมืองไทยด้วยค่ะ
 
wrinkles3

ตอบคำถามเรื่องริ้วรอย

 

Q: หน้ามีริ้วรอยทำไงดี?

A: หากหน้ามีริ้วรอย ให้ลองซื้อครีม หรือเซรั่มลดริ้วรอยใช้ดูก่อน หากเป็นริ้วรอยไม่ลึกมากก็จะช่วยได้ในเบื้องต้นโดยไม่ต้องทำหัตถการ หากใช้ต่อเนื่องหลายเดือนแล้วไม่ดีขึ้นก็สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางแก้ไขต่อไปได้ โดยแพทย์จะเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมให้กับแต่ละบุคคล

 

Q: ริ้วรอยก่อนวัยเกิดจากอะไร?
A: ริ้วรอยก่อนวัยเกิดได้จากหลายสาเหตุ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับพันธุกรรมพฤติกรรมและการใช้ชีวิต ถ้าผิวมีโครงสร้างผิวไม่ดีจากพันธุกรรมหรือสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินได้น้อยอยู่แล้วก็มีแนวโน้มที่จะเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้มากกว่าปกติ หรือถ้าชอบเล่นกีฬาใช้ชีวิตกลางแดดชอบล้างหน้าแรงๆหรือแสดงอารมณ์ทางสีหน้ามากๆก็จะมีโอกาสเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้มากกว่าปกตินั่นเอง

 

Q: นอนตะแคงทำให้เกิดริ้วรอยได้อย่างไร?
A: การนอนตะแคงข้างเดียวเป็นเวลานานจะทำให้ผิวหย่อนลงด้านเดียวซ้ำๆ หากผิวมีความยืดหยุ่นหรือความตึงไม่มากพอ จะทำให้ผิวที่ถูกแรงโน้มถ่วงดึงให้หย่อนลงซ้ำๆ เกิดเป็นริ้วรอยขึ้นได้นั่นเอง

 

Q: การแต่งหน้าทำให้เกิดริ้วรอยได้จริงหรือ?
A: การแต่งหน้าไม่ได้ทำให้เกิดริ้วรอยโดยตรง แต่บางครั้งการล้างเครื่องสำอางออกให้สะอาดอาจจะทำให้ผิวแห้งหรือถูกถู ถูกรบกวนมากเกินไป จนเกิดเป็นริ้วรอยขึ้นมาได้หรือหากแพ้เครื่องสำอางจนเซลล์ผิวผลัดตัวผิดปกติ ก็ทำให้เกิดริ้วรอยตื้นๆได้เช่นกัน

 

Q: ริ้วรอยบนใบหน้าและลำคอในบางช่วงวัยของชีวิตส่วนใหญ่ เกิดจากปัจจัยใดเป็นสำคัญ
A: หากเป็นริ้วรอยไม่ลึกเป็นๆหายๆในบางช่วงวัย อาจจะเกิดจากการที่ผิวแห้งหรือผลัดเซลล์ผิวไม่ดีในช่วงนั้นๆ ทำให้ผิวหนังไม่แข็งแรงไม่เต่งตึงอย่างที่ควรเป็นเมื่อผิวชุ่มชื้นขึ้นการผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกดีขึ้นริ้วรอยตื้นๆเหล่านั้นจะหายไปเอง

แต่หากเกิดขึ้นในบางช่วงวัยแล้วไม่สามารถหายไปเองได้เกิดเป็นริ้วรอยร่องลึกอาจเกิดจากปัจจัยอื่นที่มีผลกับโครงสร้างผิวหรือการสร้างอิลาสตินคอลลาเจนและกรดไฮยาลูโรนิคในผิวอย่างเช่นพันธุกรรมอายุความเครียดแสงแดดการดื่มสุราและสูบบุหรี่เป็นต้น


ดังนั้นการบำรุงผิวแต่เนิ่นๆ เพื่อป้องกันการเกิดริ้วรอยในระยะยาว จึงช่วยได้อย่างมากค่ะ การเลือกใช้ครีมหรือเซรั่มที่ช่วยเรื่องริ้วรอย จึงสามารถใช้ได้ตั้งแต่วัยรุ่น ส่วนในวัยผู้ใหญ่ที่เกิดริ้วรอยแล้ว Klassy Super Serum จึงพัฒนาสูตรให้สามารถจัดการริ้วรอย เปรียบเสมือนกับการฉีดโบท็อกซ์ ด้วยสารสกัด Pepetide 8 จัดการริ้วรอยที่เกิดขึ้นแล้วได้อย่างอยู่หมัดค่ะ 

ฝ้ากระจุดด่างดำ-ต่างกันยังไง

‘ฝ้ากระจุดด่างดำ’ ต่างกันอย่างไรและเกิดมาจากสาเหตุอะไรบ้าง

ฝ้ากระจุดด่างดำต่างกันอย่างไรและเกิดมาจากสาเหตุอะไรบ้าง

 

ในบทความนี้KLASSY THAILANDขออาสามาให้ข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อให้ทุกคนแยกปัญหาแต่ละชนิดให้ออก

เมื่อเราสามารถแยกปัญหา ‘ฝ้ากระจุดด่างดำ’  ได้อย่างถูกต้องเราก็จะได้แก้ไขปัญหากันได้อย่างตรงจุดและทำให้เรากลับมามีใบหน้าที่เรียบเนียนสีผิวสม่ำเสมอผิวกระจ่างใสได้อย่างที่เคยเป็น

ฝ้า (Melasma)

    ฝ้ามีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลอ่อนหรือเข็มมากอาจมีขอบเขตชัดเจนหรือไม่มีขอบมีหลากหลายขนาดหลายรูปทรง สามารถเกิดได้ทั่วบริเวณใบหน้าซึ่งพบมากในผู้หญิงช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไปมากถึง 80% โดยบริเวณใบหน้าที่มีโอกาสเกิดฝ้ามากที่สุดก็คือโหนกแก้มทั้งสองข้างจมูกและหน้าผากโดยเฉพาะบริเวณที่มักโดนแดดกระทบบ่อยๆ

ฝ้าเกิดจากเซลล์ผิวหน้าไม่แข็งแรงและเสื่อมสภาพลงจึงเกิดการเกาะ

กลุ่มของเซลล์เม็ดสีเมลานินเป็นหย่อมๆและมีการทำงานที่ผิดปกติไปทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นเกิดเป็นรอยปื้นสีน้ำตาลอ่อนหรือเข็มมากซึ่งปัจจัยหลักที่กระตุ้นทำให้เกิดฝ้าได้แก่แสงแดดระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงในร่างกายสารเคมีจากเครื่องสำอางพันธุกรรมพักผ่อนไม่เพียงพอขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายรวมถึงผู้ที่ชอบอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือจอมือถือเป็นต้น

ฝ้า (Melasma) แบ่งออกเป็น 3 ประเภทได้แก่

1. ฝ้าตื้น: มีสีน้ำตาลเข้มมีขอบชัดเจนมองเห็นได้ชัดเพราะอยู่ที่เซลล์ผิวชั้นบนหรือเกิดบนชั้นหนังกำพร้า

2. ฝ้าลึก: มีสีเข้มออกน้ำเงินอมม่วงหรือเทาอ่อนขอบเขตไม่ชัดเจนอยู่ที่ผิวหนังชั้นลึกลงไปรักษาได้ยากซึ่งเกิดพบชั้นหนังแท้

3. ฝ้าผสม: มีทั้งฝ้าตื้นและฝ้าลึกสีจางๆเกิดอยู่ร่วมกันในบริเวณต่างๆ

กระ (Freckles)

    กระมีลักษณะเป็นจุดเล็กๆกลมๆมีขอบชัดเจนกระจายอยู่ทั่วใบหน้าสามารถเกิดได้ทั้งแบบเป็นตุ่มนูนหรือจะเรียบไปกับผิวบริเวณที่มักเกิดหน้าผากแก้มดั้งจมูกคางลำคอและร่องริมฝีปากบน

สาเหตุของการเกิดกระ (Freckles)

   กระเกิดจากการทำงานผิดปกติของเซลล์เม็ดสีเมลานินและการเจริญผิดปกติของเซลล์ผิวจึงส่งผลให้ผิวบริเวณนั้นเป็นจุดเล็กๆกลมๆมีขอบชัดเจนกระจายอยู่ทั่วใบหน้าซึ่งปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้เกิดกระได้แก่แสงแดดอายุและกรรมพันธุ์

กระ (Freckles) เป็นออกเป็น 4 ประเภทได้แก่

1. กระตื้น: มีลักษณะเป็นเป็นจุดๆมักขึ้นบริเวณโหนกแก้มทั้ง 2 ข้าง

2. กระลึก: มีลักษณะเป็นจุดเล็กๆหรือแผ่นสีน้ำตาลเทาดำขอบไม่ชัดมักพบบริเวณโหนกแก้มดั้งจมูกขมับทั้ง 2 ข้าง

3. กระเนื้อ: มีลักษณะเป็นตุ่มเล็กๆสีน้ำตาลอ่อนหรือน้ำตาลเข้มพบบริเวณใบหน้าลำคอหน้าอก

4. กระแดด: มีลักษณะเป็นจุดหรือปื้นเรียบๆสีน้ำตาลหรือสีดำขนาดเล็กขอบชัดพบได้บริเวณใบหน้าแขนขาเป็นต้นส่วนใหญ่ 

 
จุดด่างดำ (Dark Spot)

   จุดด่างดำมีลักษณะเป็นรอยดำๆเกิดขึ้นได้ทั่วบริเวณใบหน้าส่วนใหญ่เกิดจากรอยสิวรอยแผลหรือมักเกิดขึ้นบริเวณจากการแกะสิวที่อักเสบทำให้ผิวอักเสบไปด้วยซึ่งบริเวณที่อักเสบจะเป็นสีน้ำตาลเข็มถึงดำนอกจากนี้ตัวกระตุ้นที่สำคัญคือแสงแดดที่ทำให้รอยดำและจุดด่างดำบนใบหน้าเข้มขึ้น

 

จะเห็นได้ว่าปัญหา ‘ฝ้ากระจุดด่างดำ’ มีสาเหตุที่แตกต่างกันแต่เราจะสังเกตได้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นฝ้ากระจุดด่างดำส่วนใหญ่แล้วมักเกิดจากเซลล์ผิวหน้าที่ไม่แข็งแรงจากภายในและมีแสงแดดเป็นตัวการหลักที่กระตุ้นให้เป็นมากขึ้นดังนั้นหากต้องการแก้ปัญหาควรเริ่มแก้จากภายในโดยการเริ่มจาก‘ฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง’ ด้วยสารอาหารจากธรรมชาติควบคู่กับการดูแลผิวจากภายนอกเพื่อประสิทธิภาพที่ดีมากขึ้น

 

วิธีดูแลผิวจากภายนอก

1. ทาครีมกันแดดที่มี SPF50 ขึ้นไปอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง

2. ใช้ครีมบำรุงที่ผ่านการรับรองประสิทธิภาพเพื่อให้ผิวชุ่มชื้นและไม่แห้งกร้านอยู่เสมอ

3. เลือกรับประทานผักผลไม้อย่างน้อย 50% ในทุกมื้อ

4. พักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 8-9 ชั่วโมงต่อวัน

5. หลีกเลี่ยงความเครียดขับถ่ายให้เป็นเวลา

6. ดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 1.5 ลิตรหรือเทียบได้กับน้ำปริมาณ 8 – 10 แก้วต่อวัน

ปัญหาผิวหน้ามัน

ปัญหาผิวหน้ามัน เกิดจากอะไร?

หน้ามันเกิดจากอะไร?

ปัญหาผิวหน้ามัน เกิดจากการที่ร่างกายมีกลไกผลิตน้ำมันออกมาเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวหน้าแห้ง แต่ด้วยปัจจัยบางอย่างทำให้บางครั้ง ร่างกายผลิตน้ำมันออกมามากเกินความจำเป็น จึงส่งผลให้เกิดปัญหาหน้ามันตามมา และส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นที่บริเวณ T-Zone และจมูก

 

สาเหตุของการเกิดหน้ามัน 


  1. กรรมพันธุ์ การมีผิวหน้ามันสามารถถ่ายทอดผ่านกรรมพันธุ์ได้ ถ้าหากในครอบครัวมีพ่อแม่ที่มีปัญหาผิวมัน ก็อาจส่งต่อไปยังลูกหลานได้เช่นเดียวกัน
  2. ฮอร์โมน ระดับฮอร์โมนในร่างกายแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว เช่นช่วงวัยเจริญพันธ์ุมักพบได้จากผู้ที่มีฮอร์โมนเพศชายสูง ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง
  3. สภาพอากาศ ร่างกายต้องสร้างสมดุลอุณหภูมิขึ้นมา เมื่อเจอกับอากาศร้อนอบอ้าวโดยการขับเหงื่อและน้ำมันออกจากร่างกาย เมื่อน้ำมันถูกผลิตออกมามากก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวได้ง่าย หากไม่หมั่นรักษาความสะอาดให้ผิวหน้า
  4. ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าผิดประเภท การใช้สกินแคร์หรือเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำมัน รวมถึงการบำรุงผิวหน้ามากเกินไป เช่นครีมบำรุงที่มีเนื้อเข้มข้นซึมผ่านเข้าผิวได้ยาก จึงทำให้เกิดปัญหาผิวอุดตันและทำให้หน้ามันยิ่งกว่าเดิม
  5. ผิวขาดความชุ่มชื้น แม้ว่าผิวหน้ามันจะเกิดจากร่างกายผลิตน้ำมันออกมาเกินไป หลายคนจึงเข้าใจผิดและเลี่ยงใช้ผลิตภัณฑ์ที่เติมน้ำให้ผิว ซึ่งแท้จริงแล้วปัญหาผิวหน้ามันยังต้องการความชุ่มชื่นโดยการใช้มอยส์เจอไรเซอร์ หรือผลิตภัณฑ์ที่มอบความชุ่มชื่นให้ผิว แนะนำให้เลือกเป็นสูตรน้ำเจลหรือเนื้อสัมผัสที่บางเบา

5 วิธีลดความมันบนใบหน้า

 

  1. ล้างหน้าให้สะอาดและถูกวิธี ขั้นตอนการล้างหน้าถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยขจัดและลดการอุดตันของความสกปรก โดยแนะนำให้ใช้คลีนเซอร์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของ BHA อย่างกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) ช่วยขจัดความมันและสิ่งสกปรกไม่ให้ตกค้างอยู่ในรูขุมขน อีกทั้งยังไม่ควรล้างหน้าบ่อยเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้หน้ามันขึ้นได้
  1. มาส์กหน้าด้วยสูตรธรรมชาติ การมาส์กหน้าสามารถช่วยดูดซับความมันและสิ่งสกปรกบนใบหน้าได้ สามารถใช้มาส์กโคลนหรือใช้มาส์กจากสูตรธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นน้ำผึ้ง ว่านหางจระเข้ ไข่ขาว หรือมะนาว

 

  1. ใช้ผลิตภัณฑ์และเครื่องสำอางที่เหมาะกับสภาพผิว เลี่ยงใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน หรือมีเนื้อสัมผัสที่หนาเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้ซึมเข้าผิวยากและทำให้อุดตัน ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อบางเบาซึมเข้าผิวง่าย
  1. ใช้กระดาษซับหน้ามันช่วยดูดซับความมันบนใบหน้า วิธีการใช้กระดาษซับหน้าที่ถูกต้องคือ ค่อยๆซับให้ทั่วใบหน้า ไม่ควรถูทั่วหน้าในคราวเดียวอีกทั้งยังไม่ควรซับหน้าให้แมตต์เกินไป เพราะจะทำให้น้ำมันบนหน้าน้อย ร่างกายจึงต้องเร่งผลิตน้ำมันออกมาอีก ทำให้หน้ามันยิ่งกว่าเดิม
  2. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารแปรรูป รวมถึงอาหารประเภทไขมันหรือน้ำตาลสูง เพราะจะส่งผลให้รูขุมขนกว้างและหน้ามันยิ่งขึ้น

 

ปัญหาหน้ามันนอกจากจะจัดการได้ด้วยวิธีข้างต้นแล้ว แอดมินแนะนำว่าควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับสภาพผิว โดยเฉพาะเรื่องของความชุ่มชื้นที่ต้องให้ความสำคัญมากๆเพื่อสร้างผิวสุขภาพดีและลดการเกิดปัญหาผิวหน้าอื่นๆตามมาค่ะ

สาเหตุที่ทำให้หน้าแก่ก่อนวัยอันควร

สาเหตุหลักที่ทำให้ผิวแก่ก่อนวัย

สาเหตุที่ทำให้หน้าแก่ก่อนวัยอันควร

 

ผิวหน้าของคนเราย่อมเสื่อมสภาพตามกาลเวลา แต่พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละคนก็มีส่วนทำให้หน้าแก่ก่อนวัยอันควรเช่นกัน แม้ว่าอายุจะเป็นเพียงแค่ตัวเลข หากปล่อยให้อายุเพิ่มขึ้นโดยไม่ดูแลหรือใส่ใจดูแลผิวหน้าอย่างสม่ำเสมอ รับรองว่าอาจจะโดนทักหน้าแก่หรือหน้าเหี่ยวแน่นอน

มาดูสาเหตุที่ทำให้หน้าแก่ก่อนวัยอันควรกันค่ะ 

 

  • ลืมทากันแดด

รังสียูวี (UV) ในแสงแดดเป็นตัวการร้ายทำให้ผิวกร้านเสีย ยิ่งนานวันเข้าก็สะสมเกิดเป็นริ้วรอย จุดด่างดำ ผิวคล้ำเสียและปัญหาผิวอื่นอีกสารพัด ดังนั้นก่อนออกแดด หรือแม้จะอยู่ในที่ร่มก็ตาม อย่าลืมทาครีมกันแดดเป็นประจำ เพียงเท่านี้ก็สามารถปกป้องผิวของเราจากรังสียูวี ตัวการทำหน้าเหี่ยวหน้าแก่ก่อนวัยได้แล้ว

 

  • ความเครียดก็มีส่วน

หากคนกำลังเครียดส่วนใหญ่ เรามักจะสังเกตได้จากสีหน้า เพราะเมื่อเครียดหรือกำลังวิตกกังวล มักจะส่งมายังสีหน้าทั้งการขมวดคิ้วหน้าบูดบึ้ง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ใบหน้าเกิดรอยย่นและริ้วรอยบนใบหน้า อีกทั้งความเครียดยังทำให้ร่างกายหลั่งสาร Cortisol เรียกได้ว่าทำให้แก่ถึงระดับเซลล์เลยทีเดียว เพราะฉะนั้นใครที่เครียดบ่อยๆ พยายามลดความเครียดลงทำจิตใจให้สบายและผ่อนคลาย

 

  • ไม่ล้างเครื่องสำอาง

การไม่ล้างเครื่องสำอางก่อนนอนแล้วเผลอหลับ หรือบางทีก็ล้างเครื่องสำอางไม่สะอาด เช็ดเครื่องสำอางแรงเกินไป ถ้าเป็นแบบนี้บ่อยๆ จะส่งผลให้ใบหน้าเกิดริ้วรอยขึ้น แถมทำให้เกิดสิวอีกด้วย ดังนั้นต้องดูแลทะนุถนอมใบหน้าให้ดีๆ

 

  • ปล่อยให้หน้าแห้ง

สาวออฟฟิศส่วนใหญ่จะผิวแห้งกัน เพราะว่าต้องทำงานอยู่ในห้องแอร์ทั้งวัน แน่นอนว่าเมื่อผิวแห้งก็มักจะเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้ง่ายกว่า ดังนั้นถ้าไม่อยากให้ผิวแห้งระหว่างวันต้องค่อยจิบน้ำบ่อยๆ และอาจจะฉีดสเปรย์น้ำแร่ช่วยให้ผิวชุ่มชื่นและสดชื่น

 

  • ดื่มแอลกอฮอล์/สูบบุหรี่

นอกจากจะทำให้สุขภาพเสียแล้ว ยังทำให้ผิวเสียเกิดรอยเหี่ยวย่นได้อีกด้วยดังนั้นถ้าไม่อยากให้หน้าแก่กว่าวัย และอยากให้ผิวสวยอยู่กับเราไปอีกนาน ควรเลี่ยงที่จะดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่จะดีกว่า

 

  • นอนตะแคงนานๆ

การนอนตะแคงหรือนอนคว่ำบ่อยๆก็ไม่ดีนะทุกคน นอกจากจะส่งผลต่อทางเดินหายใจและสุขภาพร่างกายแล้ว ยังส่งผลต่อผิวของเราด้วย ดังนั้นพยายามนอนหงายจะดีที่สุด

 

  • ติดทานของหวาน

ใครชอบทานขนมหวานบ้าง? ความหวานเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้หน้าแก่ เพราะน้ำตาลในขนมนอกจากจะทำให้น้ำหนักขึ้น น้ำตาลยังทำให้ผิวเหี่ยวดูหน้าแก่กว่าวัยได้ง่ายมากอีกด้วย ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงหรืองดของหวานจะดีที่สุด

serum vs cream

Serum_vs_cream

หลายๆท่านเกิดความสงสัยว่าระหว่างครีมและเซรั่ม ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร
 
แล้วเราควรใช้ตัวไหนถึงจะเหมาะกับผิวเรา วันนี้แอดมิน Klassy จะมาอธิบายถึงความแตกต่างของครีมและเซรั่มค่ะ
 
  • ครีม คือการผสมน้ำมันให้เข้ากับน้ำ โดยจะมีคุณสมบัติให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว จะสังเกตได้ว่าเวลาทาครีมและจะรู้สึกเหนียวและจะดูดซึมเข้าสู่ผิวช้า เนื่องจากครีมมีคุณสมบัติในเรื่องการให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว แต่ไม่สามารถซึมเข้าสู่ผิวชั้นในได้ ดังนั้นครีมจะเห็นผลช้ากว่าเซรั่ม ซึ่งจะเหมาะกับคนที่ผิวปกติและแห้ง ไม่ค่อยเหมาะกับคนผิวมันค่ะ
 
  • เซรั่ม มีลักษณะของโมเลกุลขนาดเล็ก อุดมไปด้วยสารอาหารที่เข้มข้นกว่าครีมและมีความบางเบามากกว่าครีม จึงสามารถซึมเข้าสู่ผิวได้ล้ำลึกและรวดเร็ว ซึมได้ถึงระดับโครงสร้างผิวเลยทีเดียว รวมทั้งยังมี Active Ingredients สูงกว่าครีม ดังนั้นจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของผิวอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับการใช้ครีมค่ะ
 
คุณสมบัติของเซรั่มกับครีมที่ต่างกัน
 
• เซรั่มสามารถบำรุงเข้มข้นกว่าครีม จึงทำให้เห็นผลลัพธ์ที่เร็วกว่าครีม
 
• เซรั่มมีเนื้อบางเบา ซึมได้เร็วกว่า เมื่อเทียบกับครีมที่จะรู้สึกเหนียวเหนอะหนะ
 
• เซรั่ม ซึมลึกเข้าสู่ผิวชั้นในเพื่อแก้ไขปัญญาผิวจากด้านใน ในขณะที่ครีมให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวแต่ได้แค่ผิวชั้นนอก
 
ทั้งนี้การใช้เซรั่มกับครีม สามารถใช้ร่วมกันได้ โดยทาเซรั่มบำรุงผิวชั้นในก่อนและตามด้วยครีมที่ช่วยป้องกันการระเหิดน้ำในผิวชั้นนอก แค่นี้เราก็จะมีผิวที่ดูเปล่งปลั่งขึ้นจากภายในแล้วค่ะ